วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554


“ผมอยากได้ที่ตรงนั้น คุณไปเจรจายังไงก็ได้ ให้เจ้าของไร่เขาขายที่ให้เรา ถึงจะจ่ายแพงกว่าเจ้าอื่นผมก็ยอม บริเวณรอบที่แถวนั้นเป็นร้อยๆไร่ เราก็ได้มาหมดแล้วเหลือแค่นี้เอง จะยากอะไรจริงไหมคุณประวิทย์ ” “แต่ท่านครับผมว่างานนี้คงลำบากหน่อย เพราะว่าเราไม่สามารถติดต่อเจ้าของไร่ได้ คนที่ดูแลไร่ตอนนี้ก็บอกไม่ทราบว่าเจ้าของไร่อยู่ไหน” “คุณประวิทย์ไร่เคียงดอยมันตั้งอยู่ในจุดที่สวยที่สุดของเขาลูกนั้น เด่นที่สุด บริเวณรอบๆ ที่เราได้มาเป็นร้อยๆไร่ มันคงมีประโยชน์ไม่มากถ้าเราไม่สามารถเอาที่ตรงนั้นมาได้ ผมคิดว่าคุณเองก็รู้ดี” “ครับผมทราบดี แต่ผมก็ยังคิดว่าเราสามารถ ที่จะใช้ประโยชน์ได้มากจากที่ๆเรามีอยู่ในตอนนี้ ถึงเราจะไม่สามารถได้ที่แปลงนั้นมาก็ตาม ที่ๆเรามีอยู่ผมว่ามันก็สวยไม่น้อยทีเดียว” “แต่ผมต้องการที่ตรงนั้น ไร่เคียงดอยจะต้องเป็นของเรา ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง คุณจะต้องจัดการให้เรียบร้อย เอาล่ะตอนนี้ผมมีประชุม ขอให้คุณไปดำเนินการให้สำเร็จ” “ ครับท่าน” ประวิทย์ตอบรับอย่างนอบน้อม และรีบออกจากห้องในทันที เขารู้สึกหนักใจมากทีเดียวกับโครงการนี้ ผู้ชายอายุห้าสิบต้นๆ อย่างเขาแม้ประสบการณ์ในการทำงานจะสูง แต่บางครั้งพลังในการต่อสู้ที่มีก็ลดน้อยถอยลงไปได้เหมือนกันเพราะอุปสรรค์ที่มากมาย จะดีหน่อยก็ตรงที่เงินเดือนสูงสวัสดิการดีนี่แหละ ที่ยังเป็นสิ่งจูงใจอยู่ เจ้านายเองก็ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่งานนี้สิไม่ใช่ง่ายๆเลย เหลือนิดเดียวเท่านั้น แค่นี้เอง มองเห็นเส้นชัยอยู่แค่เอื้อม แต่เหมือนวิ่งไม่ถึงสักทีหลายครั้งที่เขาพยายามติดต่อเพื่อซื้อที่ไร่แปลงนี้แต่ก็ไร้ผลมาตลอด เขาไม่สามารถติดต่อขอพบเจ้าของบ้านได้ โครงการก็เดินหน้าไปไกลเกินกว่าจะถอยหลังได้เสียแล้ว สงสัยงานนี้คงต้องการันตีด้วยตำแหน่งผู้จัดการเสียแล้ว คิดแล้วก็ไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลย มีแต่ถอนใจมากขึ้นเท่านั้น “สวัสดีค่ะป้าจันทร์สบายดีรึเปล่าคะ” “คุณสายชล ในที่สุดคุณก็โทรมา รู้ไหมคะป้ารอโทรศัพท์คุณทุกวันเลย ป้าไม่ค่อยสบายใจตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนหรือคะ” “ก็อยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใกล้ไม่ไกล”ปลายสายมีเสียงหัวเราะเบาๆ “ โธ่คุณคะยังสนุกอีก คุณไปนานแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย” “ทำไมจ๊ะป้าจันทร์หรือว่าที่ไร่มีปัญหาอะไร”
“ตอนนี้ที่ไร่กำลังมีปัญหาค่ะ พวกนายทุนกำลังพยายามติดต่อ จะมาซื้อที่ของเรา และที่ๆอยู่ติดกับที่ของเรา ก็โดนกว้านซื้อไปเกือบจะหมดแล้วนะคะ” ป้าจันทร์รายงานถึงปัญหาที่หนักใจกับเจ้านาย “เฮ้อ ทำไมนะคนเราจึงไม่รู้จักพอสักที ฉันเกลียดที่สุดเลยพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จนไม่นึกถึงความเดือดร้อนของคนอื่น ป้าจันทร์สบายใจได้นะอีกไม่เกินสามวัน ฉันกลับไร่แน่คะแน่ค่ะ ขอเคลียร์เรื่องงานให้เรียบร้อยก่อน แค่นี้ก่อนนะจ๊ะป้า หวัดดีจ๊ะ” หลังจากเสร็จธุระกับป้าจันทร์ซึ่งเป็นแม่บ้านดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในบ้านไร่เคียงดอย สายชล ก็หันมาใส่ใจกับงานตรงหน้าต่อไป การวาดภาพเป็นงานที่เธอรักมาก งานที่เธอทำด้วยหัวใจ ทุกครั้งที่เธอวาดภาพสมาธิของเธอจะไม่เคยวอกแวก มันทำให้ลืมเรื่องวุ่นวายต่างๆมากมายก็เพราะวาดภาพโดยใช้ใจและด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่มีจึงทำให้ใครต่อใครที่ได้ชื่นชมภาพฝีมือสายชลเป็นต้องรู้สึกต้องมนต์เหมือนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพเมื่อมอง ภาพเขียนของสายชลจึงติดอันดับต้นๆในบรรดาศิลปินวาดภาพชั้นนำของประเทศ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือศิลปินรุ่นใหม่ นี่คือสิ่งที่สายชลรู้สึกภูมิใจมาก และจากผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ภาพของสายชลได้รับรางวัลพิเศษหลายชิ้น เป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของสายชล ศิลปินนักวาดภาพฝีมือดีเป็นที่รู้จัก ถึงกระนั้นสายชลกลับทำตัวขัดแย้งสวนทางกับชื่อเสียง ลึกลับหาตัวยาก ทุกครั้งที่ได้รับเชิญในงานต่างๆ ก็จะมีเพียงตัวแทนของสายชลเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ เธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตส่วนตัวที่เรียบง่าย พอใจจะเดินทางไปไหนเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะก็ไป จนได้รับฉายาว่า ศิลปินลึกลับเธอภาคภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองได้รับมากเพราะกว่าจะได้มามันช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าที่เธอจะค้นหาความเป็นตัวของตัวเอง ค้นพบในสิ่งที่ตนเองชอบและรัก จนครอบครัวยอมรับได้ ต้องอดทนและใช้เวลาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ มาวันนี้ผลตอบแทนอันคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็น ชื่อเสียง เงินทอง ความสุข ความสุขอันเกิดจาก การได้ทำงานที่ตนรัก ได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน ธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับตัวเอง ใครก็ตามที่ได้ทำงานที่ตนเองรักก็คงรู้สึกเช่นนี้ทุกคน และยิ่งประสบความสำเร็จด้วยแล้วจะยิ่งภูมิใจแค่ไหนสายชลบอกตนเองเช่นนี้เสมอ ความภาคภูมิใจในตัวเองฉายชัดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ ถึงแม้จะอดกังวลไม่ได้ในเรื่องบ้านไร่เคียงดอย ก็ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง คงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คิด และหลังจากเคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อยนำภาพทั้งหมดไปจัดแสดงที่แกลรอลี่ของเธอเองที่กรุงเทพเรียบร้อยแล้วก็จะเดินทางกลับไร่ทันที ซึ่งครั้งนี้เธอต้องอยู่ดูแลจนทุกอย่างเรียบร้อย ถึงจะได้มีโอกาสเดินทางอีกครั้ง เที่ยงคืนของต้นฤดูหนาวบรรยากาศกำลังสบายๆ เพราะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว บรรยากาศรอบบ้านมืดสนิท สายชลกระชับเสื้อคลุมไหล่ยิ่งขึ้น เพราะเริ่มสัมผัสกับหมอกเย็นนานเท่าไหร่แล้ว เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจกับกริยายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สายตาเพ่งมองไปเบื้องหน้าเหมือนพยายามมอง ให้ทะลุความมืดเพื่อหาอะไรสักอย่าง และภาพแห่งอดีตก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ เป็นภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุสี่ขวบ ที่นั่งเล่นขีดเขียนอะไรต่างๆ ไปตามจินตนาการ ตามมุมต่างๆของบ้าน มีเธออยู่ในทุกๆที่ของความทรงจำ เด็กหญิงในวัยแห่งการเรียนรู้วัยแห่งการอยากรู้อยากเห็น ต้องการความใกล้ชิดความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนเธอถูกทอดทิ้ง ด้วยความจำเป็นในบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจด้วยวัยเพียงแค่นั้น มีเพียงคุณตาและคุณยายที่คอยดูแลให้ความรักความอบอุ่นแก่หลานน้อยของท่าน ด้วยความรักและความสงสาร อยากชดเชยในสิ่งที่เธอขาดหายไป ทำทุกอย่าง เอาอกเอาใจไม่เคยขัด เหมือนเป็นเจ้าหญิงองค์น้อยองค์หนึ่ง ทุกครั้งที่คุณพ่อและคุณแม่เดินทางมาหาเธอ เธอจะดีใจและมีความสุขมาก เหมือนโลกทั้งโลกเป็นของเธอ แต่ทุกครั้ง เพียงไม่นานท่านก็จะรีบร้อนจากไปเธอไม่เคยเข้าใจในความจำเป็นเหล่านั้นเลย รู้เพียงว่า เสียใจ และน้อยใจอย่างมากมาย เหมือนกับโดนทอดทิ้ง ทำให้เด็กหญิงสายชลกลายเป็นเด็กที่ช่างคิด ช่างฝัน เต็มไปด้วยจิตนาการต่างๆ มีโลกของตัวเอง จวบจนเมื่อโตขึ้น สามารถเข้าใจเหตุผลต่างๆ ของผู้ใหญ่ได้จึงได้รู้ถึงความจำเป็นของพ่อแม่ แต่ช่วงที่สำคัญของชีวิตที่ผ่านมามันได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ไปเสียแล้ว
“คุณชลคะ” อ้าวป้ายังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ” เสียงถามแผ่วเบา “ป้าเอานมร้อนมาให้ค่ะ” “ขอบใจจ๊ะป้า ป้าจันทร์ไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันกำลังใช้ความคิดนิดหน่อยเดี๋ยวก็นอนแล้วล่ะ” “เอ่อ ป้าลืมไปค่ะ ว่าจะขึ้นมาเรียนคุณชลว่า เมื่อกี้คุณพ่อกับคุณแม่โทรมาค่ะ” “เหรอจ๊ะแล้วท่านว่ายังไงบ้าง” น้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมาทันที ใบหน้าที่แลดูเรียบเฉย พลันก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส “ท่านถามถึงคุณชลค่ะ คือ ป้าคิดว่าคุณหลับแล้ว เมื่อกี้ขึ้นมาดูเห็นแสงไฟถึงรู้ว่าคุณยังไม่นอน” “ก็เลยบอกว่าฉันหลับ เสียดายจัง กำลังคิดถึงท่านพอดี ไม่เป็นไรจ๊ะป้าเดี๋ยวฉันจะโทรเข้ามือถือของท่านเองก็ได้” พูดได้แค่นั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน “สวัสดีค่ะคุณแม่สบายดีไหมคะ ” “แม่สบายดีจ๊ะลูก” “คุณพ่ออยู่ใกล้ๆหรือเปล่าคะ” “คุณพ่อก็อยู่ตรงนี้แหละจ๊ะ มีอะไรจ๊ะลูก” “เปล่าค่ะคิดถึง” “ปากหวานจริงนะลูกสาวแม่แล้วลูกล่ะจ๊ะสบายดีรึเปล่า” “หนูสบายดีค่ะคุณแม่ แล้วเที่ยวสนุกไหมคะ” “สนุกมากจ๊ะลูกที่นี่สวยมาก แต่แม่คิดถึงอาหารไทยมากที่สุดเลย” “แล้วคุณพ่อกับคุณแม่จะอยู่ที่นั่นอีกนานหรือเปล่าคะ” “สักอาทิตย์หน้านี้แหละจ๊ะก็จะต่อไปที่อเมริกา” “ที่แคนนาดานี่เขามีที่เที่ยวที่น่าสนใจเยอะแยะเหมือนกันนะคะคุณแม่” “ก็ใช่สิจ๊ะไม่งั้นพ่อกับแม่ก็คงไม่อยู่นานแบบนี้หรอก ลูกไม่คิดที่จะมาเที่ยวกับพ่อแม่หรือจ๊ะ เจอกันที่อเมริกาก็ดีนะลูก” น้ำเสียงผู้เป็นมารดาดู กระตือรือร้นยิ่งนัก “คือหนูไม่อยากเป็น ก ข ค น่ะค่ะคุณแม่” น้ำเสียงหัวเราะในตอนท้ายเบาๆ “แม่ว่า ลูกห่วงอย่างอื่นมากกว่ามั๊ย” “ไม่ได้มีอย่างอื่นหรอกค่ะ แต่หนูมีแผนที่จะไป ทิเบต เนปาล แล้วก็ภูฎาน อยู่แล้วค่ะแม่ แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้” “นั่นแหละที่แม่ว่าลูกมีเรื่องที่ต้องห่วงอยู่ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะแม่รู้สึกว่าน้ำเสียงของลูกดูเนือยๆ”ปลายสายทอดน้ำเสียงอ่อนโยนห่วงใยทำให้คนฟังอดรู้สึกตื้นตันใจไม่ได้ เงียบไปนิดหนึ่งก่อนพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติ “ เปล่าค่ะชลก็แค่คิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่มากน่ะค่ะ” “จริงหรือลูก ชลถ้าลูกมีอะไรลูกควรจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังนะเราพร้อมที่จะช่วยลูกทุกอย่าง อย่างเรื่องบ้านไร่เคียงดอยก็เหมือนกันป้าจันทร์เล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว” “คุณแม่รู้เรื่องแล้วหรือคะ ป้าจันทร์นี่นะเร็วจริงๆ” บ่นประโยคสุดท้ายเบาๆ “อย่าไปโทษป้าจันทร์ที่เขาบอกความจริงกับแม่เลยสายชล”คุณนภาเรียกชื่อเต็มของลูกสาว “มีความจำเป็นอะไรล่ะที่ลูกจะไม่พูดให้แม่ฟัง นอกจากลูกคิดว่าลูกสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เพียงคนเดียวไม่เข้าใจความรู้สึกห่วงใยทั้งหมดที่แม่กับพ่อมีให้” “จริงๆแล้วหนูไม่อยากให้คุณแม่กับคุณพ่อไม่สบายใจน่ะค่ะ เดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก” “ชลหนูเป็นลูกของแม่เพราะฉะนั้นแม่ถึงรู้ว่าลูกคิดอะไร แม่พูดตรงๆ แม่ห่วงลูกมาก” น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาดูเครือๆ ในความรู้สึกของสายชล “คุณแม่คะบ้านของเราไม่มีใครมาบังคับให้เราขายได้หรอกค่ะ สิทธิของเราบ้านเมืองมีกฎหมาย คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเลย ที่ทำให้มารดาต้องเป็นห่วงอย่างนี้ มเป็น “ชลจ๊ะลูกอย่าลืมสิคำว่าอิทธิพลน่ะบางทีมันก็เป็นเงามืดดำทึบครอบคลุมแม้กระทั่งทำให้คนไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ ลูกเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียวถึงแม้ว่าลูกจะพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นแล้วว่าลูกเป็นคนเก่ง และมีความสามารถมากก็ตามแม่ก็ไม่สามารถเลิกห่วงลูกได้หรอกนะ” “คุณแม่คะแล้วคุณแม่ไม่รักไม่ผูกพันกับบ้านที่คุณแม่เติบโตมาหรือคะ” “สายชลฟังแม่นะลูกบ้านเคียงดอยคือบ้านที่แม่รักมาก แม่มีความผูกพัน อดีตแห่งความสุขของแม่อยู่ที่นั่น แต่ให้ลูกเชื่อแม่เถอะในโลกนี้มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกของแม่ วันหนึ่งนะที่ลูกมีโอกาสเป็นแม่คนแล้วลูกจะรู้ความรู้สึกของแม่” “โธ่คุณแม่คะหนูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณแม่รู้สึกแบบนั้น แล้วหนูควรทำยังไงคะ” “แม่ไม่อยากให้ลูกอยู่ที่นั่น” เงียบไปนิดหนึ่ง “เฉพาะช่วงนี้นะชล” “แล้วคนของเราล่ะคะเขาก็ต้องการขวัญและกำลังใจ หนูจะไม่ทิ้งเขาไปไหน และถ้าเราหนีเราก็ต้องหนีตลอดไปนะคะ คุณแม่คะมันไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คุณแม่คิดหรอกค่ะ และถ้าหนูจะไม่สามารถปกป้องสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับหนูได้ หนูจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ค่ะหนูสัญญา” “แม่เชื่อหนู แต่อย่าลืมนะ อย่าลืมว่าคนพวกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มเดียว มันมีหลายคนหลายกลุ่มที่เข้ามาหาประโยชน์จากที่ตรงนั้น และไร่เคียงดอยของเรา มันตั้งอยู่บนจุดที่สวยงามมากเด่นสะดุดตาใครๆก็สนใจ แม่ว่ามันอาจจะวุ่นวายจนทำให้คนของเราเองก็อาจไม่มีความสุข” “ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ หนูมีวิธีที่เด็ดขาดและดีที่สุดคิดเอาไว้แล้วค่ะ แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นนั้นหนูขอใช้วิธีอื่นก่อน ..... จนกว่า” .... “จนกว่าอะไรหรือจ๊ะลูก”น้ำเสียงที่ถามดูตกใจมิใช่น้อยทำให้คนฟังปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ก็จนกว่าจะถึงที่สุดไงคะคุณแม่ แค่นั้นแหละค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่กับคุณพ่อรักและห่วงใยมาก หนูจะไม่ทำอะไรให้ต้องทุกข์ร้อนใจเด็ดขาดค่ะ” ยกเว้นถ้าจำเป็นประโยคนี้เจ้าตัวแอบต่อเล่นๆในใจ “คุณแม่คะหนูขอคุยกับคุณพ่อหน่อยค่ะ” “จ๊ะได้จ๊ะ” ตอบรับบุตรสาวพร้อมกับเรียกสามี “พ่อคะลูกอยากคุยด้วยค่ะ” “ว่าไงเจ้าคนเก่ง”ทักทายบุตรสาวพร้อมกับหัวเราะชอบใจทีเดียว “คุณพ่อชอบว่าหนูเรื่อย” “อ้าวพ่อไปว่าอะไรเราที่ไหน พ่อชมลูกนะนี่หรือไม่จริง ก็ลูกสาวพ่อน่ะเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่คนเราจะให้เก่งแค่ไหนก็ต้องการเพื่อนช่วยคิดนะลูก มีอะไรก็โทรมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังนะลูก หนูน่ะนอกจากไม่ชอบโทรศัพท์แล้วก็ยังชอบปิดมือถืออีกนะ เวลาพ่ออยากฟังเสียงใสๆของลูกน่ะก็โทรไม่ค่อยติดเลย ทีเสียงแหบๆห้าวๆของเจ้าเมฆเจ้าภูน่ะได้ยินจนเบื่อ”พูดแล้ว บิดายังหัวเราะมาตามสายด้วยนิสัยเป็นคนอารมณ์ดี “หนูจะปิดก็เวลาที่ไม่มีสมาธิเท่านั้นแหละค่ะเวลาทำงานก็ต้องการความเป็นส่วนตัวนะคะคุณพ่อ” “ เออพ่อหมายถึงเวลาเดินทางเพราะลูกชอบเดินทางถ้าคนอื่นติดต่อไม่ได้ลูกก็ควรเป็นฝ่ายติดต่อ พ่อกับแม่ไม่คิดจะปิดกั้นในสิ่งที่ลูกชอบนะเราเข้าใจ จะมีก็คือความห่วงใยนะลูก” “ค่ะหนูรู้และ เข้าใจ” “โทรไปคุยกับพี่เมฆพี่ภูก็ได้มีอะไรก็อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว พ่อกับแม่รักลูกมากนะแค่นี้ ก่อนนะลูก” “หนูก็รักคุณพ่อกับคุณแม่มากค่ะ สวัสดีค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าคุณทำหน้าดีๆหน่อย ลูกเราเค้าเก่งนะ” “ดิฉันห่วงลูกนะคะคุณ แกเป็นลูกสาวคนเดียวของเรานะ ตั้งแต่ตอนที่แกเป็นเด็กแล้ว มีอะไรก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกความต้องการของตัวเองขออยู่อย่างเดียวขอให้เราอยู่กับเขานานๆแล้วเราก็ไม่เคยทำได้เลย ฉันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงภาพลูกร้องไห้ยืนกอดขาแม่เอาไว้ เวลาที่เราจะจากแกไป”พอพูดถึงตรงนี้คุณนภาก็ถึงกับน้ำตาคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง “ช่วงวัยที่สำคัญวัยที่เริ่มต้นของลูกแท้ๆเลยเรากลับไม่มีโอกาสดูแลได้ให้ความรักความอบอุ่นกับลูกที่เพียงพอ”น้ำเสียงของคุณนภาบ่งบอกถึงความเสียใจยิ่งนักจนคนเป็นสามีอดรู้สึกไม่ได้ “มันผ่านมาแล้วน่ะคุณ แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เราไม่สามารถย้อนเวลากลับได้ และถ้าคนเราสามารถแก้ไข อดีตไ ด้ เราคงเลือกที่จะทำชีวิตให้สมบูรณ์ทุกอย่างแต่มันเป็นไปไม่ได้ และถ้าเราเลือกแบบนั้นเราก็คงไม่มีสิ่งดีๆหลายๆอย่างให้ลูกเหมือนกัน คุณคิดสิ ว่าถ้าเรากลายเป็นคนที่ไม่มีอะไร ลูกๆของเราทุกคนก็คงไม่มีอนาคตเหมือนกัน ถึงวันนี้ชลเขารู้ทุกอย่างนะคุณ พูดถึงตอนเป็นเด็กเมื่อเขาสามารถรับฟังเหตุผลจากเราเข้าใจ เขาก็เข้าใจพ่อแม่ดีนะไม่ได้เป็นคนมีปัญหาอะไร”ฝ่ายภรรยาหันมามองหน้าสามีพร้อมกับพูดว่า “คุณไม่รู้สึกบ้างเลยหรือคะว่าลูกเราเขาดูแปลกๆ” ฝ่ายสามีมองสบสายตาภรรยาสุดที่รัก “แปลกยังไงหรือคุณผมก็เห็นเขาเป็นคนเก่งทำงานก็ประสบความสำเร็จ อายุเท่านี้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินระดับต้นๆของประเทศได้นี่มันไม่ใช่ธรรมดาเลยนะ” “มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ไม่ยอมทำธุรกิจ สบายๆดีๆเหมือนพี่ชายทั้งสองของแก มีอยู่สองอย่างที่แกอยากได้คือไร่เคียงดอย และการได้ทำงานศิลปะออกท่องเที่ยว นอกนั้นไม่สนใจอะไรเลย” “นั่นไม่ใช่ข้อสรุปที่คุณจะว่าลูกเป็นคนแปลกเหมือนที่คุณคิดนะ” “ บางครั้งฉันเข้าไม่ถึงความรู้สึกของแกเลยเดาไม่ออกจริงๆว่าคิดอะไรอยู่ในใจ” “ก็ไม่ต้องไปเดาสิ คุณก็เห็นว่าลูกชอบงานศิลปะเต็มไปด้วยความคิดและจินตนาการ ลูกได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วถ้าไม่คิดอะไรมาก ผมขอถามว่าคุณภูมิใจกับลูกไหม ที่เขาก้าวมาถึงศิลปินระดับต้นๆได้ ใครๆก็รู้จักชื่อสายชลศิลปินนักวาดภาพฝีมือดีทั้งนั้นผลงานที่เขาทำอยู่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อ สังคมและประเทศชาตินะคุณ ความสามารถระดับนี้ใครๆก็ใฝ่ฝันที่จะก้าวไปยืนอยู่ตรงจุดที่สายชลทำได้ทั้งนั้นแหละ” “ก็นั่นนะสิคะ คุณคิดว่าแปลกไหมล่ะใครที่ไหนเมื่อโด่งดังแล้วไม่อยากให้ใครรู้จักล่ะ ส่วนใหญ่ดิฉันก็เห็นมีแต่อยากดังกันทั้งนั้นขนาดไม่ดังยังพยายามทำให้ดังเลย” พูดเสร็จก็หันไปทำหน้าตาขึงขังให้สามีเห็นด้วย “แล้วคุณคิดว่าโลกนี้มีคนที่มีความคิดแตกต่างกันไหมล่ะ” “ก็ต้องมีสิคะ” “นั่นแหละ เพราะว่าคนเหล่านั้นเขาต้องการชีวิตความเป็นส่วนตัว ต้องการมีชีวิตที่ปรกติเหมือนคนทั่วไป คุณดูอย่างดาราหรือคนที่มีชื่อเสียงอื่นๆสิ เวลาไปไหนมาไหนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มันสูญเสียนะคุณสูญเสียความเป็นส่วนตัวตลอดไป เพราะว่าเมื่อมีคนรู้จักเราแล้วมันก็ต้องรู้จักตลอดไป”นภาพยักหน้าช้าๆเมื่อคิดตามคำพูดของสามี “ ก็นั่นนะสิคะ”เธอ เริ่มคล้อยตามคำพูดของสามี “แล้วพูดถึงเรื่องงานเรื่องการเงินต้องห่วงรึเปล่าล่ะชื่อเสียงขนาดนี้ ภาพของลูกชลน่ะเขาขายอยู่ที่ราคาเท่าไหร่แค่ภาพสองภาพก็สามารถเที่ยวต่างประเทศได้สบายเลยไม่มีความ เสี่ยงเหมือนทำธุรกิจด้วยนะคุณ” “ถึงฉันจะพูดแบบนั้นถึงฉันจะว่าลูกแปลก แต่ฉันก็ภูมิใจกับลูกมากนะคะ” “ถ้าคุณภูมิใจคุณก็ต้องให้ความเชื่อมั่น ดูคุณยังไม่รู้จักลูกของเราดีขึ้นเลยนะ คุณอย่าพูดว่าลูก แปลกให้เขาได้ยินเป็นอันขาด เพราะสิ่งที่ลูกต้องการมากก็คือความเชื่อมั่น ขอให้เราเชื่อมั่นในตัวเขาทำให้ลูกเราเขาเห็นว่าเรารู้สึกเช่นนั้นมันจะเป็นเหมือนพลังสำหรับลูกด้วย เชื่อผมนะ” “ค่ะฉันเชื่อคุณแล้วฉันก็จะเชื่อลูกด้วย เพียงแต่ความเป็นแม่ทำให้อดห่วงไม่ได้” “งั้นผมก็หมดห่วงแล้วล่ะ” พูดพร้อมกับโอบกอดกระชับร่างอันอวบอิ่มของภรรยาสุดที่รักไว้ในอ้อมแขนอันอบอุ่น ดอกไม้หน้าหนาวเริ่มผลิดอกบ้างแล้ว อวดดอกงามที่โดดเด่น ดอกไม้ป่าบานแย้มต้อนรับฤดูหนาวของทุกปี ปลายฝน เช่นนี้ก็พอมีบ้างที่มีดอกไม้บางดอกเริ่มแย้มบานก่อนใครอื่น สายชลนึกอยากวาดภาพดอกไม้ที่บานรับอรุณรุ่ง ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างและฉากหลังที่เป็นสายน้ำ ภูเขา และแสงสีทองของท้องฟ้า เธอจึงตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อต้อนรับวันใหม่และเริ่มทำในสิ่งที่ดีๆให้กับชีวิต ดอกไม้สีเหลืองงามถูกเกาะพราว ด้วยหยาดน้ำค้าง รับกับฉากหลังที่เป็นแม่น้ำสะท้อนรับแสงเงินแสงทองของท้องฟ้าวันใหม่ยามอรุณรุ่ง แสงทองจับขอบฟ้ากำลังเริ่มแผ่รัศมี สายชลบรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้าด้วยอารมณ์สดชื่นและเบิกบาน ผลงานที่ออกมาจากใจที่มีความสุขย่อมสวยงามเสมอ เธอชื่นชมในผลงานของตัวเองเงียบๆและอิ่มสุขอย่างเหลือล้ำ “คุณคะนมร้อนๆค่ะ” “ขอบใจจ่ะป้า”สายชลรับถ้วยนมร้อนๆมาจากป้าจันทร์ “สวยมากเลยค่ะ ป้ามองภาพนี้แล้ว ป้ารู้สึกเหมือนป้าอยู่ในความฝัน เลยนะคะ” “ป้าพูดแบบนี้กับภาพวาดทุกภาพของฉัน” สายชลอดที่จะหัวเราะด้วยความพอใจไม่ได้ “ก็ป้าพูดตามที่ป้ารู้สึกนี่คะคุณ” “ จ๊ะฉันเชื่อที่ป้าพูด ก็นี่มันเป็นภาพวาดของสายชลนี่นาจริงไหมจ๊ะป้า” “ใช่ค่ะคุณชลของป้าเก่งที่สุดเลย” “ พอแล้วล่ะจ๊ะเดี๋ยวฉันจะอิ่มคำชมจนทานข้าวไม่ได้ข้าวต้มกุ้งของป้ามันจะเสียใจนะแล้วฉันก็ตั้งใจจะกินเยอะๆด้วย” ตอนท้ายประโยคเธอหันมาหัวเราะน้อยๆให้ป้าจันทร์ และนางก็พลอยหัวเราะไปกับอารมณ์ขันของเจ้านายด้วย “ป้าจ๊ะป้าช่วยบอกน้าสมบูรณ์มาเอาภาพนี้ไปเก็บในห้องภาพให้หน่อยนะ” บอกพลางเก็บอุปกรณ์การวาดภาพลงกล่องอย่างพิถีพิถัน เธอรัก และทะนุถนอมอุปกรณ์การวาดภาพมาก ทุกชิ้นเธอจะต้องทำความสะอาดและเก็บอย่างเป็นระเบียบทุกครั้ง เป็นภาพที่ป้าจันทร์คนเก่าแก่เห็นจนเคยชิน ตั้งแต่สายชลยังเป็นเจ้านายตัวน้อยๆ เป็นยังไงก็เป็นแบบนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลงไปเลย นางอดยิ้มชื่นชมคนที่เป็นเจ้านายไม่ได้ แต่คนถูกมองด้วยความชื่นชมกลับไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวสารวนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์ “ข้าวต้มกุ้งชามโตๆนะป้าจันทร์รู้สึกหิวเป็นพิเศษสงสัยรู้ว่าจะได้ทานฝีมือป้าจันทร์แน่เลย”คนพูดๆโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าแม่บ้านคนเก่าแก่อีกเลยเพราะยังคงจดจ่ออยู่กับการทำงาน “ได้ค่ะ แล้วรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ” “ อือ ขอเป็นชาน้ำผึ้งมะนาวก็ดีนะป้า น้ำผึ้งหวานๆจากไร่ของเรา ทานแล้วเช้านี้ฉันคงมีพลังน่าดูเลย จะได้ไปเดินสำรวจไร่สักหน่อยป้าจันทร์ช่วยบอกลุงมีด้วยนะคะ” “ไม้ดอกกำลังบานสวยเลยล่ะค่ะคุณชล ที่กำลังตัดขายได้ก็มีหลายชนิดแล้วนะคะ” “ดีจังลุงมีนี่เก่งจังเลยนะ เดี๋ยวป้าจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำ” “ค่ะ” หลังจากนั้นป้าจันทร์ก็รีบไปทำข้าวต้มกุ้งให้สายชลทันที นางมีความรู้สึกว่านางโชคดีมากที่ได้เจ้านายอย่างสายชลอยู่ง่ายกินง่ายอยู่ใกล้แล้วสบายใจเป็นทั้งร่มโพธิ์ร่มไทรสำหรับนาง สามีและก็คนงานทุกคนจริงๆ นึกอธิฐานในใจขอให้คุณสายชลเธอได้พบกับคนดีๆด้วยเถอะ “ไร่เคียงดอย ของใครกันนะจ่าพอรู้จักเจ้าของไหม” “เจ้าของน่ะไม่รู้จักหรอกครับ รู้แต่ว่าย้ายครอบครัวไปตั้งรกรากอยู่ที่กรุงเทพ ตอนนี้ก็มีคนดูแลกิจการในไร่ส่วนเจ้าของเห็นว่านานๆจะมาสักครั้งหนึ่ง” “มีข้อมูลดีเหมือนกันนี่นะจ่า” “ครับก็ผมพอจะรู้จักคนงานที่ทำงานในไร่นี้อยู่บ้าง เอ ว่าแต่สารวัตรถามทำไมหรือครับหรือว่ามีอะไรเป็นพิเศษ” จ่าเข้มถามพร้อมชำเลืองสายตามองเจ้านายอย่างนึกสงสัย ธนชาติหัวเราะกับท่าทางช่างสงสัยของลูกน้องคนสนิท เปล่าผมไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกจ่าเพียงแค่รู้สึกชอบเท่านั้นมันสวยมากเลยนะ อยากลองเข้าชมข้างในดูบ้าง ผ่าน มาทุกครั้งเป็นต้องรู้สึกอย่างนี้ทุกทีเลย แปลกเหมือนกันผมว่ามันเป็นไร่ที่มีเสน่ห์ อย่างบอกไม่ถูก” “อะไรกันครับสารวัตร”จ่าเข้มอดยิ้มกับอารมณ์โรแมนติกของเจ้านายไม่ได้ “ถ้าบอกว่าไร่นี้มีลูกสาวสวยก็ว่าไปอีกอย่างนะครับจะได้น่าเข้าไปหน่อย” “ มันก็ไม่แน่เหมือนกันนะจ่า.....”คนพูดคงต้องการพูดเล่นสนุกๆไปตามนิสัยของคนอารมณ์ดี “แต่มันก็จริงเหมือนที่จ่าว่านะ เพราะสาวๆสวยๆเขาก็คงไม่มาอยู่กลางไร่กลางป่าอย่างนี้หรอกพวกเธอชอบที่ๆมันเจริญและเต็มไปด้วยความสิวิไลมากกว่า” “มันก็ไม่แน่อีกนะครับคนเราน่ะคิดไม่เหมือนกันอาจจะมีผู้หญิงสาวๆสวยๆที่ชอบใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติกลางป่าก็ได้แต่เท่าที่มีอยู่นี่ผมว่ามันก็มากแล้วนะครับสารวัตร มีแต่คนสวยๆทั้งนั้นเลยว่าแต่สารวัตรน่ะสนใจคนไหนเป็นพิเศษล่ะครับ แต่ถ้าให้ผมเดาผมว่าน่าจะเป็นคุณ....” “อย่าเดาเลยจ่าเดาไม่ถูกหรอก” “อ้าวผมยังไม่ได้เอ่ยเลยนะครับปิดโอกาสซะแล้ว” จ่าเข้มหัวเราะถูกใจที่แซวเจ้านายได้ “ผมยังไม่มีความรู้สึกพิเศษแบบนั้นกับใคร” “จริงเหรอครับ” “ก็จริงนะสิจ่าผมจะโกหกจ่าทำไม” “ว้าอย่างนี้ถ้าสาวๆมาได้ยินเข้าก็คงเสียใจแย่เลยนะครับ” “ก็ถ้าจ่าไม่พูดใครเขาจะไปรู้ล่ะ” “ครับก็จริงนะครับ” “ผมได้ข่าวว่าที่แถวนี้เขาขายกันไปเยอะแล้วนะ” “ครับพวกนายทุนกว้านซื้อไปจวนจะหมดแล้วที่ยังเหลืออยู่ก็คงจะ เป็นไร่เคียงดอยนี่แหละครับ ก็เจ้าของเขาเป็นคนมีเงินมีทองเหมือนกันคงไม่คิดจะขายหรอกผมว่าแต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับเพราะเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่อาจจะอยากขายเพราะไม่อยากดูแล หรือตัดปัญหาก็ได้ ผมได้ข่าวมาว่าตอนนี้ที่แถวๆนี้กำลังมีปัญหาพวกนายทุนต่างแย่งกันเพื่อเป็นเจ้าของที่ให้มากที่สุด ทั้งกิจการรีสอร์ทโรงแรม ” “น่าเสียดายนะถ้าเขาจะขาย ผมคนหนึ่งล่ะคงรู้สึกเสียดายมากถ้าไร่นี้จะกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่เหลือสภาพความเป็นธรรมชาติไว้เหมือนเดิม” “ก็คงไม่มีใครทำอะไรได้หรอกครับสารวัตร หรือไม่สารวัตรก็ซื้อไว้ซะเองสิครับชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” “นั่นสินะ เฮ้ย! เรามันข้าราชการจะไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อล่ะจ่าที่เป็นพันไร่” “ก็ขอนายแม่ของสารวัตรสิครับ ไม่แน่นะครับเผื่อสารวัตรเล่าให้ท่านฟังท่านอาจจะสนใจก็ได้” “ไม่เอาล่ะจ่าถ้าเป็นเหมือนที่จ่าพูดผมว่าตอนนี้ที่มันกำลังมีปัญหาผมไม่อยากยุ่งกับพวกนายทุน ให้เจ้าของไร่เขาสู้ไปเถอะ” “ใช่ครับดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียด้วย” ทั้งสองหันไปมองไร่เคียงดอยอีกครั้งก่อนที่จะพ้นจากอาณาเขตไร่ “ เออจ่าเลยไร่นี้ไปสักหน่อยมีร้านขายของชำเล็กๆจ่าช่วยจอดซื้อน้ำเปล่าเย็นๆให้ผมหน่อยนะรู้สึกหิวน้ำ” “ ครับสารวัตร”
สายชลแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวกระชับเข้ารูปสีน้ำตาลอ่อนกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม ผมยาวถักเปียไว้เรียบร้อย สวมแว่นกันแดดและหมวกมิดชิด เธอสวมรองเท้าบู๊ทเพื่อป้องกันแมลงมีพิษที่อาจจะกัดเอาได้ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้วแดดเริ่มอ่อนแสงลง เธอเดินสำรวจจนถึงท้ายไร่ ใช้เวลานานทีเดียวจนรู้สึกพึงพอใจกับผลผลิตที่กำลังผลิดอกออกผล และกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเป็นบางชนิด คนงานทุกคนก็ดูกระตือรือร้นขยันขันแข็งดี ในเนื้อที่กว้างใหญ่ของไร่เคียงดอย ดูเต็มไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจไมตรี มองเห็นสีหน้าของทุกคนสายชลก็รู้ว่าพวกเขามีความสุข ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสยกมือไหว้ ทักทายสายชล ซึ่งเธอก็เป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือตัวว่าเป็นนาย ถามไถ่ทุกข์สุขกับทุกคน เอาไว้วันว่างๆเธอตั้งใจว่าจะมาลุยงานกับพวกเขา ซึ่งเธอก็ทำเป็นประจำอยู่แล้วเวลาที่มาบ้านไร่และมันก็ทำให้เธอได้ใจของคนงานด้วย “เดินจนถึงท้ายไร่เลยนะครับคุณชลเหนื่อยไหมครับ” “ก็ตั้งใจไว้นี่จ๊ะลุงมี ไม่เหนื่อยหรอกมีความสุขดีซะอีก จำไม่ได้เหรอฉันน่ะพวกแบกเป้เที่ยวนะเดินซะจนเป็นเรื่องปรกติแล้ว แค่นี้น่ะสบาย” “ครับลืมไปจริงๆนั่นแหละ” สีหน้าลุงมียิ้มๆแสดงความชื่นชมเจ้านาย “แต่ฉันก็สู้ลุงมีไม่ได้หรอกนะเดินทุกวันนี่นาแข็งแรงด้วยนะออกกำลังกายทุกวันแบบนี้” “ตกมาปีนี้เริ่มรู้สึกตัวว่าแก่แล้วครับคุณชล” สายชลยิ้มรับกับคำพูดของลุงมี “ ไม่แก่หรอกจ๊ะลุง ลุงน่ะดูแลไร่นี้ไห้ฉันได้สบายๆไปอีกนานเลยล่ะ ลุงมีจ๊ะลุงช่วยบอกพี่ป้าน้าอาพวกเราทุกคนด้วยนะจ๊ะว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นฉันจะเลี้ยงอาหารทุกคน เพราะฉันไม่ได้กลับไร่นานแล้ว ทุกคนจะได้พักผ่อนและดื่มกินกันอย่างเต็มที่” ยังไม่ทันที่สายชลจะพูดจบและลุงมีก็ยังไม่มีโอกาสได้ประกาศ เสียงร้องไชโยก็ดังขึ้นเริ่มจากต้นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆหน้าตาดีซึ่งยืนอยู่เคียงข้างอ้อนแฟนสาวและเป็นลูกสาวคนงานในไร่ ตอนนี้ต้นกำลังเรียนกฎหมายปีสอง ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย โดยทำงานในไร่และใช้เวลาที่ว่างจากงานในการอ่านหนังสือเนื่องจากฐานะทางครอบครัวไม่เอื้ออำนวยเหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่เรียนกันตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆดังๆเพราะพ่อกับแม่ของต้นก็เป็นคนงานในไร่มานานแล้วต้นจึงโตที่นี่และสายชลก็รู้จักเป็นอย่างดีรวมทั้งอีกหลายๆคน นอกจากเสียงของต้นแล้วก็ยังมีเสียงไชโยของคนงานอีกหลายๆคนที่ได้ยิน เรื่องที่สายชลพูด “ผมว่าแล้วถ้าคุณสายชลกลับบ้านไร่เคียงดอยเมื่อไหร่ จะต้องมีอะไรดีๆแน่นอน “นี่ต้นฉันยังพูดไม่จบเลยนะนักกฎหมายน่ะจะต้องสำรวมและสมาทกว่านี้นะ”สายชลได้ยินเสียงอ้อนหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆต้น “เงียบน่ะอ้อนหัวเราะที่พี่โดนคุณชลว่าเหรอ” “ นี่ต้นฉันแซวเธอเล่นเฉยๆ” “ ผมรู้อยู่แล้ว” “ มั่นใจจังเลยนะเรา” “ใครไม่รู้จักคุณชลก็แย่แล้วครับ” “ ถ้างั้นฉันคงไม่ให้ลุงมีประกาศแล้วล่ะ เอาเป็นว่าทุกคนรับรู้พร้อมกันเลยนะว่า พรุ่งนี้ทำงานถึงแค่เที่ยงวันก็พอ ช่วงบ่ายให้ทุกคนเตรียมตัวช่วยกันในเรื่องอาหารและสถานที่ใครอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็เสนอได้เลยเอาเป็นลานเคียงดาวข้างบ้านเหมือนเดิมนะ เรื่องที่ต้องการแจ้งกับทุกคนก็มีแค่นี้แหละ แล้วพรุ่งนี้เจอกันทุกคนนะจ๊ะ” พอจบเสียงพูดของสายชลเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งกว่าจะเงียบลงและตามด้วยเสียงพูดคุยกันอีกนานถึงงานวันพรุ่งนี้ สายชลก็เดินกลับถึงบ้านเคียงดอยเรียบร้อยแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น